Q: LED คืออะไร?
A: LED (Light Emitting Diode) คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กึ่งตัวนำชนิดหนึ่งที่สามารถเปล่งแสงได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านในปริมาณและทิศทางที่เหมาะสม เรียกกันทั่วไปว่า ไดโอด
Q: LED ประหยัดไฟได้อย่างไร?
A: หลอดไฟปกตินั้น สมมุติว่าใช้กำลังไฟฟ้า100ส่วน แต่อาจให้แสงจริงๆแค่ส่วนนึงของกำลังไฟฟ้าทั้งหมด ส่วนที่เหลือนั้นจะกลายเป็นการสูญเสียในรูปความร้อนและรังสีที่มองไม่เห็น เรียกได้ว่าประสิทธิภาพของแสงที่ออกมานั้นต่ำเมื่อเทียบกับกำลังไฟฟ้าที่เราต้องเสีย แต่ LED นั้น สามารถให้ในส่วนของแสงที่ออกมาได้สูงมาก และความร้อนสูญเสียนั้นต่ำ จึงทำให้ LED ที่กำลังไฟฟ้าต่ำนั้น ใช้ทดแทนหลอดไฟดังกล่าวได้
Q: LED เหมาะกับการใช้งานที่ไหน?
A: LED สามารถประยุกต์ใช้งานได้กับทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น สวนสาธารณะ ถนน อาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรมบ้านเรือน ฯลฯ เพียงแต่การเลือกชนิดโคม กำลังไฟฟ้า สี เป็นเลือกที่จะต้องพิจารณาให้เหมาะสม ซึ่ง ในปัจจุบัน LED ได้ทำโคมออกมาอย่างหลากหลาย เพื่อการประยุกต์ใช้งานในอาคารแบบต่างๆ เรียกได้ว่า ของเดิมมีโคมแบบไหน LED ก็มีโคมแบบนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถใช้แทนกันได้แทบจะสมบูรณ์แบบ
Q: LED มีกี่สี?
A: LED นั้น หลักๆมีอยู่3สี คือ แดง เขียว น้ำเงิน ซึ่ง สามารถนำมาใช้เป็นแม่สีในการผสมสีอื่นๆได้หลากหลาย แต่ในปัจจุบันนั้น LED สามารถจะให้แสงโทนสีขาวได้โดยที่ไม่ต้องผสม ซึ่งจะให้ความสม่ำเสมอของสีที่เหมาะสมสำหรับใช้ในพื้นที่ทำงานดีกว่า นอกจากนี้ยังมีโทนสีสำหรับการใช้งานทั่วไป คือ สีขาว (daylight), สีขาวนวล (cool white) และ สีเหลือง (warm white)
Q: อายุการใช้งานของ LED ยาวเท่าไหร่?
A: อายุของ LED จริงๆนั้น ยาวนานมาก ใช้งานได้ยาวกว่า 10 ปี (ถ้าเปิดใช้งานวันละ 12 ชั่วโมง) แต่เราอาจจะเห็นการระบุอายุที่หลากหลาย เช่น 35,000 ชั่วโมงบ้าง 50,000 ชั่วโมงบ้าง หรือ กระทั่ง 100,000 ชั่วโมง อันนี้ขึ้นกับวิธีการคำนวนของทดสอบ ซึ่งจะให้ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น บางวิธีอาจจะทดสอบโดยการวัดปริมาณแสงที่ลดลงในช่วงเวลานึง และ คำนวนอายุล่วงหน้าโดยใช้สูตรสถิติ ในขณะเดียวกัน บางวิธีจะใช้การคำนวนอายุจากปริมาณหลอดไฟส่วนใหญ่ที่ดับ
Q: อะไรมีผลทำให้หลอด LED อายุใช้งานสั้นลง
A: ความร้อนคือสิ่งสำคัญอันดับแรก ยิ่งร้อนมากเท่าไหร่ อายุการใช้งานก็จะยิ่งน้อยลง ต่อมา คือความคงที่กระแสไฟฟ้า หรือ แรงดัน หากมากเกินพิกัด ก็จะส่งผลต่อปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นกับคุณภาพ และ ตัวระบายความร้อนของโคมและเม็ด LED ด้วย
Q: LED มีการพัฒนาอย่างไร?
A: LED นั้นมีมานานกว่า50-60ปีเป็นแล้วอย่างน้อย ในช่วงแรกๆนั้น LED จะมีลักษณะเป็นทรงกระบอกกลมๆโค้งๆ มี 2 ขา หรือเรียกว่า LED “DIP, 5mm” เนื่องจากการใช้งานมีลักษณะจุ่มไปในแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ จุดประสงค์ในการใข้งานเพื่อเป็นสัญญาณไฟบอกสถานะการทำงานของอุปกรณ์ ถัดมา เนื่องจาก LED ที่ใช้ 2 ขานั้น ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดี จึงได้พัฒนาให้มีลักษณะเป็นเหมือนชิบสี่เหลี่ยมและมี 4ขา เพื่อเพิ่มการระบายความร้อนให้ดีขึ้น จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการเปล่งแสงดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งLEDชนิดนี้เรียกว่า SMD (Surface Mounted Diode) จากนั้น เพื่อเพิ่มการระบายความร้อนให้ดียิ่งขึ้น ได้ออกแบบ LED ให้มีการสัมผัสกับตัวระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น โดยให้ผิวสัมผัสของตัวชิบแทบจะทั้งหมดแนบไปกับแผ่นวงจร LED ในลักษณะนี้จะเรียกว่า COB (Chip On Board) จึงทำให้ LED ชนิดนี้มีประสิทธิภาพในให้แสงที่สูงและอายุนาน
Q: LED สามารถต่อกับไฟบ้านโดยตรงเลยได้ไหม
A: ไม่ได้เพราะ LED โดยปกติแล้วใช้กับไฟกระแสตรง (DC), แต่ที่สามารถต่อได้นั้น เนื่องจากมี ตัวขับ (Driver) ทำหน้าที่แปลงกระแสไฟบ้าน (ไฟสลับ AC) มาเป็นไฟกระแสตรง ก่อนที่จะจ่ายเข้าหลอด LED